torsdag 15 februari 2018

กองหนุน “อย่างหนา” :คอลัมน์ ใบตองแห้ง


กองหนุน “อย่างหนา” :คอลัมน์ ใบตองแห้ง

“อย่างหนาตราช้าง” แล้วไงล่ะ แล้วหมอธีก็ต้องขอโทษพี่ใหญ่ใจดี ผู้โอบอ้อมอารี รักพี่รักน้องรักสัตว์รักป่า เป็นอุทาหรณ์แก่นักเรียนไทย ซึ่งหมอธีพูดให้ฟังที่ลอนดอนว่า กลับมาทำงานบ้านเรา จะยึดวัฒนธรรมแป้งบางตามก้นฝรั่งไม่ได้นะ ไม่งั้นจะเอาตัวไม่รอด
ที่พูดไม่ออกเห็นจะเป็นสมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา อุตส่าห์สดุดีหมอธีกล้าหาญชาญชัย เป็นแบบอย่างให้เด็กและครู ไม่หวาดหวั่นพรั่นพรึง แม้อาจถูกปรับออกจากคณะรัฐมนตรี
แล้วทีนี้ จะสอนเด็กยังไงล่ะ เอาอย่างนี้สิ คุณครูควรชี้ให้เห็นว่าหมอธีเป็นผู้เสียสละ เพราะทีแรกใครๆ ก็ประเมินว่า หลังจากคลิปเสียงบีบีซีแพร่ออกไป (จนไม่สามารถปฏิเสธ ว่าไม่ได้พูด แค่อ้างว่าถูกอัดเทปไม่รู้ตัว) ถ้าหมอธีเป็นคนรักหน้า รักศักดิ์ศรีมากกว่าเสถียรภาพรัฐบาล สถานการณ์ก็อาจบานปลายถึงขั้น “พี่ป้อมไม่ออก หมอธีออก” ซึ่งจะเละไปกันใหญ่ ส่งผลร้ายต่อรัฐบาล เข้าทางพวกจ้องทำลาย
หมอธีเลยต้องเสียสละไง ยอมเสียหมอ ยอมให้ใครต่อใครด่าขรม มวยล้มต้มกองเชียร์ ทั้งที่คนอย่างหมอธี จะสะบัดก้นลาออก กลับไปทำงานกับวัฒนธรรมเมืองนอกเมื่อไหร่ก็ได้
แต่มาช่องนี้ ก็กลายเป็นยอมรับแรงกดดันแทนพี่ใหญ่ ถ้าหมอธีออก พี่ป้อมก็ถูกทะลวงฟัน พอหมอธีไม่ออก ตัวเองก็ถูกสกรัม
กรณีหมอธียังพิสูจน์ว่า เลิกตื๊อเรื่องนาฬิกาเหอะ ขนาดรัฐมนตรีด้วยกันใช้คำว่าอย่างหนาตราช้าง รัฐบาลใจเพชรยังไม่สะดุ้งสะเทือน ตอกย้ำความจำเป็นต้องผูกขาไปด้วยกัน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
กองหนุน คสช. กองหนุนรัฐประหาร ที่เสียงแตกคนละทาง ต้องศึกษาหมอธีเป็นเยี่ยงอย่าง ไม่มีประโยชน์ที่ชูจริยธรรมกดดันพี่ป้อม โดยหวังลดแรงเสียดทานรัฐบาล ตรงกันข้าม จะทำลายเสถียรภาพต่างหาก ใครยังเล่นไม่เลิก คือพวกจ้องทำลาย ใครรักลุงตู่ ต้องทำใจรักพี่ป้อมด้วย
หลังกรณีหมอธี หลังชุมนุมเรียกร้องเลือกตั้ง หลายคนคิดว่ารัฐบาลขาลงจะสั่นคลอน แต่ไม่หรอกครับ เผลอๆ จะเกิดปรากฏการณ์ตีกลับ ทำให้กองหนุนผนึกกำลัง กลับมาค้ำจุนรัฐบาล เพราะยิ่งสั่นคลอน ยิ่งวิตกกังวล ก็ยิ่งต้องปกป้อง เหมือนที่ปรากฏมาหลายครั้ง
การชุมนุมซึ่งเกิดขึ้นอย่างห้าวหาญ ไม่หวั่นเกรงแม้ถูกจับกุมดำเนินคดี แม้มีคนไม่กี่ร้อย แต่ก็เป็นที่สนใจอย่างมาก มีคนดูคลิปถ่ายทอดในเฟซบุ๊กไลฟ์หลายแสนคน สะท้อนว่าประชาชนกำลังอัดอั้น หากปล่อยไปถึงจุดพลิกผัน ก็น่ากลัวอยู่เหมือนกัน
ทันใดนั้นจึงเกิดแรงสะท้อนกลับ กองหนุนที่ก่นขรม กลับไปพิทักษ์จุดยืนมั่นคง “ประชาธิปไตยคือเผด็จการ” ไม่อยากเลือกตั้ง ยิ่งเห็นทักษิณ ยิ่งลักษณ์ ไปซื้อเกาลัดเมืองจีนวันเดียวกัน “เกมโลกล้อมไทย” ทฤษฎี conspiracy ให้ร้ายป้ายสี ก็ทำงานแข็งขัน สื่อหน้ามืดปลุกความเกลียดชัง ใครอยากเลือกตั้งคือเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง
โธ่ถัง ขนาดหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ วิพากษ์เลื่อนเลือกตั้งผิดคำมั่นอยู่หลัดๆ ก็ยังอ้างโพลทำเองตีกินสองทาง ว่าความไม่พอใจ คสช.สั่งสมมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มั่นใจคนเคลื่อนไหว “รังเกียจ” ไม่ต้องการให้นำกลับไปสู่ระบอบทักษิณอีก
ก็ไม่ได้ผิดหวังหรือแปลกใจอะไร เคยทำนายไว้หลายครั้งแล้วว่า คสช.จะอยู่ยั้งยืนยง แม้ถึงขาลง และหาทางลงไม่ได้ เพราะสังคมไทยอยู่ในยุคมืดมน ยิ่งเข้าตาจน คนชั้นกลางระดับบนคนมั่งมีที่เสียงดังกว่าใคร ก็ยิ่งต้องปกป้องอำนาจ เพราะหวาดกลัวความไม่มั่นคง มองไม่เห็นอนาคตหมด คสช.แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร ต่อให้ไม่พอใจ ก็ต้องกอดแข้งกอดขา ยอมพาตัวเองให้ต่ำตม ตะแบงปกป้องอย่างไร้ตรรก ไร้เหตุผล ยอมจำนนโยนคำว่าจริยธรรม ก็กลัวรัฐบาลพังนี่หว่า ต้องประคองกันจนถึงนายกฯ คนนอก ตลอด 
5 ปี หรือยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
 ถามว่ามีกองหนุนหดหายบ้างไหม ก็เยอะอยู่ แต่ส่วนใหญ่กลายเป็นพวก “ตายด้านทางการเมือง” หมดอารมณ์ ไม่ยุ่งไม่เกี่ยวดีกว่า จะวุ่นวายทำไม อยากทำความดี ก็บริจาคเงินซื้ออุปกรณ์โรงพยาบาล อยากเรียกร้องความเป็นธรรม ก็ใส่เสื้อเสือดำ อยากเห็นความยุติธรรม ก็ตามดูคดีหวย 30 ล้าน การเมืองไม่ใช่เรื่องของเรา
กระแสก็จะวนๆ อยู่อย่างนี้ เดี๋ยวบ่นเดี๋ยวหน่ายเดี๋ยวตีกลับ แม้ถอยถดลงไป หดหายกันไป แต่กระแสหลักก็ยังหัวปักหัวปำ เหมือนครั้งซื้อเรือดำน้ำ เหมือนครั้งฝายแม่ผ่องพรรณ ฯลฯ สุดท้ายก็ต้องกอดคอกัน

ทำไงได้ เพราะนี่ไม่ใช่รัฐประหารโดยกองทัพเท่านั้น เป่านกหวีดมาด้วยกัน ก็ต้องรับผิดชอบ
ร่วมกันสิครับ จะมาอ้างจริยธรรม อย่างหนา ถีบเรือแป๊ะได้อย่างไร

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar