fredag 7 augusti 2015

Somsak Jeamteerasakul สิ่งที่เรียกว่า กระแส "ล้มเจ้า" และ "คดีหมิ่นฯ" มากมายในหลายปีที่ผ่านมา เกิดจากการที่เจ้าลงมายุ่งการเมืองอย่างเต็มที่และเปิดเผยก่อน

ตาสว่างs foto.


สิ่งที่เรียกว่า กระแส "ล้มเจ้า" และ "คดีหมิ่นฯ" มากมายในหลายปีที่ผ่านมา เกิดจากการที่เจ้าลงมายุ่งการเมืองอย่างเต็มที่และเปิดเผยก่อน
( Cr. Somsak Jeamteerasakul )

กระทู้นี้ความจริง คิดจะเขียนตั้งแต่เมื่อ 3 วันก่อน แต่ไม่มีเวลา ในระหว่าง 3 วันที่ผ่านมา มีการตัดสินคดีหมิ่นฯที่เหลือเชื่ออีก 2 คดี คือคดีที่ให้จำคุกคนมีปัญหาทางจิต 5 ปี (ลดจาก 10 ปี) และคดีล่าสุดวันนี้ จำคุกเป็นประวัติการณ์ 30 ปี (ลดจาก 60 ปี) - "สถิติ" ที่เพิ่งถูกทำลายไป ความจริงก็เพิ่งไม่กี่เดือนก่อน คือ 25 ปี (ลดจาก 50 ปี)
คงจะจำได้ว่า เมื่อ 3 วันก่อน ผมโพสต์การอัพโหลดคลิปวิดีโอและคลิปเสียง กรณีที่สนธิ ลิ้มทองกุล ออกมาเปิดเผยว่า พระราชินีทรงพระราชทาน "ผ้าพันคอสีฟ้า" ให้กับพันธมิตร และคำนูณ เปิดเผยว่า มีการพระราชทานเงิน 2.5 แสนบาทด้วย (สำหรับท่านที่ตั้งข้อสังเกตว่า "ทำไมน้อยจัง" - ประเด็นไม่ใช่อยู่ที่จำนวนครับ ต้องอ่านที่คุณคำนูณเขาเขียนที่ว่า ผลจากการได้รับพระราชทานเงินและผ้าพันคอเป็นอย่างไร ในแง่สร้างความมั่นใจ-กำลังใจให้กับพันธมิตร "เราต้องชนะแน่นอน" "แผ่นดินจ่ายเงินเดือนให้เรา") -ใครที่จำกระทู้ไม่ได้หรือยังไม่เห็น ถ้าอยู่ในเพจผม ก็เลื่อนลงไปดูจากกระทู้นี้ประมาณ 4-5 กระทู้
ประเด็นสำคัญที่ผมต้องการจะบอกคือ สิ่งที่เรียกว่า กระแส "ล้มเจ้า" หรือการแสดงความไม่พอใจต่อเจ้า ซึ่งตามมาด้วยการมีคดีหมิ่นฯมากมายเป็นร้อยๆในหลายปีที่ผ่านมา ‪#‎มันเริ่มมาจากการที่เจ้าเองนั่นแหละเข้ามายุ่งการเมืองชนิดเปิดเผยก่อน‬ แล้วคนเลยไม่พอใจ เนื่องจากพูดกันแบบตรงๆไม่ได้ ก็เลยเกิดการแสดงออกในลักษณะที่ "ระเบิด" ออกมา เอาเข้าจริง บรรดาคนที่ไม่พอใจเหล่านี้ แทบทุกคนก็ล้วนเคยรักเจ้ามาก่อนทั้งนั้น
ถ้าเจ้าไม่เข้ามายุ่งการเมืองแบบที่ว่านี้ก่อน ก็ไม่มีกระแสที่ว่าหรอก ผมเคยเล่ามาก่อนหน้านี้ว่า ผมเขียนเรื่องเจ้ามาเป็นสิบๆปี อย่าว่าแต่ชาวบ้านทั่วไปเลย แม้แต่ในแวดวงวิชาการ ก็ยากเป็นหินที่จะทำให้พวกนักวิชาการ (ที่อ้างหรือเชื่อกันว่าตัวเองเป็นพวก "ทวนกระแส" นี่แหละ) เห็นความสำคัญของปัญหา .. ผมไม่ต้องการไล่เรียงประวัติศาสตร์ทางความคิดในแวดวงปัญญาชนในกรณีนี้โดยละเอียด เอาแบบสั้นๆง่ายๆ แค่เตือนความจำว่า กรณีสำคัญที่สุด คือ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ที่เป็นนักวิชาการที่สำคัญและมีอิทธิพลทางความคิดที่สุดก่อนยุควิกฤติ ยังไม่เข้าใจความสำคัญของปัญหานี้เลย (ลองกลับไปอ่านคำสัมภาษณ์ของเขาต่อ "ฟ้าเดียวกัน" หลังรัฐประหาร 19 กันยา ใหม่ๆ ดูก็ได้ ที่เขาเปรียบเทียบปัญหาสถาบันกษัตริย์ เหมือนปัญหาที่อยู่ไกลจาก "หน้าบ้าน" คือเป็นปัญหา "ปากซอย" ที่ห่างออกไป - นึกดูก็แล้วกัน ปัญญาชนคนสำคัญที่สุดของประเทศ มองอะไรแคบขนาดนั้น ตื้นขนาดนั้น ในปีที่เกิดรัฐประหารแล้ว ได้)
แต่เพราะเจ้านั่นแหละ เข้ามายุ่งการเมืองแบบเปิดเผย ก็เลยทำให้เกิดอาการ "ตาสว่าง" ในหมู่ชาวบ้านชาวเมืองอย่างขนานใหญ่
อันที่จริง เจ้าน่ะ ยุ่งเกี่ยวการเมืองมานานแล้ว ตั้งแต่สมัย ปรีดี สฤษดิ์ มาถึง 6 ตุลา แต่หลังทศวรรษ 2530 คนก็ค่อยๆลืมๆไป และคนที่โตมาภายหลัง ก็ไม่สามารถเรียนรู้ได้ เพราะโตขึ้นมากับการโปรแกรมยัดเยียดข้อมูลด้านเดียว
สมัยนึง คนรักเจ้าชอบ "ถาม" ในลักษณะที่ต้องเรียกว่า "อีเดียต" มากๆทำนองว่า "พระองค์ท่านไปทำอะไรให้มรึง"
คือมันเป็น "คำถาม" ชนิด "อีเดียต" เพราะว่า ในประเทศไทย ไม่มีใครตอบได้จริงๆถ้าไม่อยากติดคุก
และมัน "อีเดียต" ในแง่ที่ไม่รู้จักมองให้เห็นความจริงที่เพิ่งกล่าวมาด้วยว่า กระแสไม่พอใจเจ้านั้น มันเริ่มมาจากการทีเจ้าเองเข้ามายุ่งการเมืองก่อนนั่นแหละ กรณีให้ผ้าพันคอ ให้เงิน ไปถึงที่ทำความ "ช็อค" ให้กับคนจำนวนมาก คือการร่วมงานศพ "น้องโบว์" และหลังจากนั้น เช่นการออกมาแสดงบทบาทของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์  แน่นอน คนรักเจ้าส่วนหนึ่ง ใช้วิธีปลอบใจตัวเอง หรือแก้ตัวให้กับเจ้า ประเภทว่า สำหรับพวกนี้ "พระองค์ท่าน" (ในคำถามข้างต้น "ไปทำอะไรให้พวกมรึง") เขาหมายถึงในหลวงพระองค์เดียวเท่านั้น ซึ่งก็เป็นอะไรที่ "อีเดียต" ซ้ำสอง คือไม่เพียงแต่ว่า ที่พระราชินีหรือฟ้าหญิงฯ ออกมาเคลื่อนไหวการเมืองอย่างเปิดเผยนี้ได้ ก็เพราะอาศัยสถานะของสถาบันกษัตริย์โดยรวมนั่นแหละ ซึ่งในเมื่อในหลวงทรงเป็น "ซีอีโอ" ของสถาบันฯ (ถ้าจะใช้สมัยใหม่) ถ้าบุคคลากรของสถาบันฯเข้ามายุ่งการเมือง ก็ต้องทรงรับผิดชอบเต็มที่ ไม่เพียงเท่านั้น พระราชินีเองยังทรงพูดเองด้วยซ้ำ ตอนให้เงินช่วยครอบครัวน้องโบว์ว่า เป็นเงินที่ในหลวงเองทรงฝากเงินมาให้ เป็นต้น
 
ปัญหา "พระองค์ท่าน" ที่ว่า "ไปทำอะไรให้" ยังมีมากกว่านี้อีก ถ้าจะให้มีการอภิปรายกันจริงๆ คือไม่เพียงเรื่องพระราชินี ฟ้าหญิง แต่ยังรวมถึงกรณีสำคัญคือเปรม ที่เป็นหัวหน้าที่ปรึกษาของ "พระองค์ท่าน" และ - ตามคำของคนอย่างสุริยใสเอง - ได้ออกมาเคลื่อนไหวการเมืองทำให้เกิดรัฐประหาร (และต้องไม่ลืมที่บวรศักดิ์เล่าเองว่า องคมนตรีทั้งคณะร่วมกดดันให้เขาลาออกจากรัฐบาลทักษิณ) แบบนี้จะบอกว่า "พระองค์ท่าน" ไม่ต้องรับผิดชอบกับการเข้ามายุ่งการเมืองของคนของพระองค์ท่านทั้งหลายนี้ จะได้อย่างไรและแน่นอน ยังมีประเด็นสำคัญที่สุดคือ การที่ทรงลงพระปรมาภิไธย รับรองการรัฐประหาร ทั้งๆที่ทรงอ้างเองก่อนการรัฐประหารว่า ทรงทำตามครรลองรัฐธรรมนูญ ไม่เคยละเมิดเลย ฯลฯ และเรื่องที่ทรงกระตุ้นให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า "ตุลาการภิวัฒน์"


สรุปแล้ว ความจริงที่เห็นได้ชัดคือ "พระองค์ท่าน" พระราชินี ฟ้าหญิง องคมนตรี - โดยสรุปคือ "เจ้า" หรือ "สถาบันกษัตริย์" ทั้งหมด เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างเปิดเผย เต็มที่ ในลักษณะที่เชียร์-ช่วย ข้างหนึ่ง เล่นงานอีกข้างหนึ่งก่อน  นี่คือสาเหตุที่ทำให้เกิดสิ่งที่ถูกเรียกว่า "ล้มเจ้า" ความจริง ถ้าเจ้าเองไม่ทำแบบที่ว่ามาก่อน ก็ไม่เกิดสิ่งนี้ในลักษณะนี้หรอก
 
ปัญหาคือ พอเจ้าเองทำแบบนี้ แล้วคนมีปฏิกิริยา ซึ่งเกือบทั้งหมดจะเป็นคนระดับชาวบ้านๆ ที่มักจะแสดงออกมาแบบ "ระเบิด" ความรู้สึก ก็เลยกลายเป็นทำให้ถูกจับเข้าคุกเป็นว่าเล่น อย่างที่เห็นๆ
เจ้า, ขุนศึกของเจ้า และคนรักเจ้า แทนที่จะหันมามองตัวเอง และหาทางรับผิดชอบแก้ไขปรับปรุงสิ่งที่ทำพลาดไปแล้วของตัวเอง ก็กลับหลอกตัวเองด้วยการไม่ยอมรับความจริงนี้และโทษว่าเป็นเรื่องของคนที่มีปฏิกิริยาออกมา (เป็นเรื่องพวก "ล้มเจ้า") และก็หลอกตัวเองว่า ด้วยวิธีการกวาดจับ เอาคนเข้าคุกแบบนี้ จะทำให้รักษาความมั่นคงของเจ้าไว้ได้
 
บรรดาเจ้าโง่ๆทั่วโลกที่ตกกระป๋องทางประวัติศาสตร์มานับไม่ถ้วน ล้วนเคยคิดแบบนี้ มองอะไรแบบสายตาสั้นแบบนี้มาแล้วทั้งนั้นแหละ .....


ตาสว่างs foto.

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar