tisdag 18 november 2014

10 ตาสว่าง....สร้างวิกฤตไทยกลายเป็นรัฐล้มเหลว : ต้องเร่งสร้างรัฐประชาธิปไตยประชาชน



10ตาสว่าง...

นำเสนอต่อมหาชนโดย จอห์น ลี

ตาสว่างที่2.  เพราะทหารเป็นของพระราชา  ประชาธิปไตยไทยจึงไม่มี

นับตั้งแต่กษัตริย์ภูมิพล แสดงตัวอย่างเปิดเผยในการทำรัฐประหาร เมื่อปี 2500 โดยจับมือกับจอมพลสฤษธิ์ ธนะรัฐ โค่นล้มรัฐบาลจอมพลป.พิบูลย์สงคราม ซึ่งเป็นรัฐบาลสุดท้ายเชื้อสายของคณะราษฎร ที่ภูมิพลเกลียดชังเพราะนอกจากจอมพลป.จะเป็นกำลังสำคัญของคณะราษฎรโค่นล้มอำนาจราชวงศ์จักรีในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อ 24 มิถุนายน 2475 และจับเชื้อพระวงศ์เข้าคุก ในการปราบกบฏพระองค์เจ้าบวรเดชรวมตลอดถึงประเด็นสำคัญที่ ภูมิพลหวาดกลัวที่สุด คือรัฐบาลจอมพลป.พิบูลย์สงครามในขณะนั้นกำลังเตรียมการจะรื้อฟื้นคดีที่ ภูมิพลเป็นผู้สังหาร รัชกาล ที่ 8 ขึ้นพิจารณา เพราะรู้ว่ากษัตริย์ภูมิพลกำลังจะเล่นไม่ซื่อกับคณะรัฐบาลของเขา(ความเคียดแค้นนี้แสดงออกชัดเจนคือทุกคนของคณะราษฎรที่ลี้ภัยไปต่างประเทศจะกลับแผ่นดินไทยได้เพียงกระดูกเท่านั้น)

ด้วยเหตุนี้กษัตริย์ภูมิพลจึงแสดงตัวชัดเจนในการการประกาศให้ประชาชนสนับสนุนการยึดอำนาจของจอมพลสฤษธิ์อย่างเปิดเผยเป็นเอกสารโดยไม่มีผู้ลงนามสนองพระบรมราชองค์การซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฏหมายและไม่ชอบด้วยประเพณีการปกครองที่ต้องการปกป้องไม่ให้กษัตริย์ต้องมีความผิดตามหลักปรัชญาที่ว่า"The King can do no wrong"และนับแต่นั้นหลักการของคณะราษฎรที่ให้ทหารเป็นของประชาชนก็เปลี่ยนเป็น"ทหารเป็นของพระราชา" 

และนับแต่นั้นกษัตริย์ภูมิพลก็ใช้ทหารกระทำการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลต่างๆไม่หยุดหย่อนไม่ว่ารัฐบาลนั้นจะมาจากการเลือกตั้งหรือมาจากการรัฐประหารที่ตนสนับสนุนเองก็ตามหากตนรู้สึกระแวงว่ารัฐบาลนั้นจะมีความมั่นคงซึ่งจะทำให้การเผด็จอำนาจของระบอบกษัตริย์เสื่อมคลายได้เช่นรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุนหะวัณ,รัฐบาลพตท.ทักษิณ ชิณวัตร โดยเฉพาะรัฐบาลของพลเอกสุจินดา คราประยูร ที่กษัตริย์ภูมิพลพึ่งลงนามอนุญาติให้ทำรัฐประหารล้มรัฐบาลพลเอกชาติชายได้ เพียงแต่เกิดความระแวงว่าพลเอกสุจินดาและนายทหารรุ่น5มีความสามัคคีเหนียวแน่นกำลังจะวางฐานอำนาจเข้มแข็งและเป็นเสี้ยนหนามของตนในอนาคตเป็นต้น  

โดยไม่สนใจวิธีการว่าการล้มนายกรัฐมนตรีที่ตัวเองลงนามอนุญาติให้ไปนั้นจะเป็นไปตามครรลองแห่งกฎหมายหรือไม่ รวมทั้งใช้วิธีการที่เลวร้ายด้วยการยุให้กลุ่มการเมืองที่ขัดแย้งกันตามภาวะการธรรมชาติของสังคมก่อม็อบปะทะกันเพื่อให้เกิดจลาจล แล้วก็ตามมาด้วยรัฐประหารซ้อนหรือเข้ามาเผด็จอำนาจด้วยตนเองเช่นยุให้ทหารรุ่น7ที่นำโดยพลตรีจำลอง ศรีเมืองและพลเอกพัลลภ ปิ่นมณี ที่ขัดแย้งกับทหารรุ่น5ที่นำโดยพลเอกสุจินดา จนกลายเป็นจลาจลในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี2535  และเมื่อกลุ่มรุ่น7เพลี่ยงพล้ำกษัตริย์ภูมิพลก็แสดงตนเป็นพ่อพระลงมาห้ามทัพแล้วก็บีบให้พลเอกสุจินดาลาออกจากนายกฯแล้วก็แต่งตั้งคนของตนคือนายอานันท์ ปันยารชุณ ขึ้นเป็นนายกฯตามอำเภอใจทั้งๆที่ในขณะนั้นมีสภาผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนและพลตรีจำลองลูกสมุนของภูมิพลที่ก่อจลาจลโดยชูประเด็นการต่อสู้ว่า "ประชาชนต้องการนายกฯที่มาจากการเลือกตั้ง" จนผู้คนต้องล้มตายจากการต่อสู้เรียกร้องและนี้คือตัวอย่างหนึ่งของบันทึกประวัติศาสตร์

ประชาธิปไตยอัปยศว่า "นายกฯพ่อสายบัวแต่งตัวรอเก้อเพราะรถที่อัญเชิญพระบรมราชโองการโปรดเกล้านายกฯเลยบ้านว่าที่นายกฯคือพลอากาศเอกสมบุญ ระหงษ์ หัวหน้าพรรคที่มีเสียงข้างมากในสภาและมาจากการเลือกตั้งโดยรถเลยไปจอดที่บ้านนายอานันท์ทำให้นายอานันท์ได้เป็นนายกฯรอบที่สองและเป็นต้นแบบของผู้ที่ไม่ชอบประชาธิปไตยแต่ก็เป็นนายกฯได้สบายๆหากทำตัวเป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์ภูมิพล,  จนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ใครอยากจะได้เป็นนายกฯจากการเลือกตั้งโดยให้ความสำคัญกับเสียงประชาชนถือเป็นความโง่

ลายเซนต์ของกษัตริย์ภูมิพลที่ลงนามในฐานะประมุขแห่งรัฐโดยหลักการมีความสำคัญอย่างยิ่งแต่ในความเป็นจริงมีความสำคัญน้อยกว่าอารมณ์ที่ผันแปรขึ้นๆลงๆของกษัตริย์ภูมิพลซึ่งกระทำตามอำเภอใจตั้งแต่ ปี 2500 เป็นต้นมา เพราะกษัตริย์ภูมิพลเป็นผู้ถือปืนเองในนามว่า "ทหารเป็นของพระราชา" และในทางกฎหมายภูมิพลก็เป็นผู้เลือกและลงนามแต่งตั้งผู้บัญชาการเหล่าทัพสูงสุดเอง เพียงแต่มีความฉลาดคือใช้เครือข่ายสั่งการผ่านองคมนตรีและบุคคลที่ตนแสดงให้สังคมเห็นว่าเป็นคนที่ไว้วางพระราชหฤทัยดังเช่นใช้ให้พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นตัวแสดงในการผ่านอำนาจเป็นต้นและหากผู้ใดฝ่าฝืนพระราชประสงค์ผู้นั้นก็จะได้รับอันตรายแม้จะเป็นนายกฯที่ประชาชนชื่นชมเช่นพตท.ทักษิณ ชินวัตร หรือผู้ที่กุมอาวุธมั่นคงในตำแหน่งทางการทหารเช่นพลเอกสุจินดาก็ไม่อาจจะต้านทานได้เป็นต้น 

การบริหารอำนาจภายใต้หลักการณ์ทหารเป็นของพระราชาทั้งที่กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน โดยมีการแสดงอำนาจที่ไร้หลักเกณฑ์แห่งกฎหมายให้เห็นอยู่เสมอด้วยเช่นสั่งให้ทหารทำการล้มรัฐบาลและทำให้หายตัวลึกลับของบางคนรวมตลอดถึงการสังหารบุคคลโดยทหารทั้งเปิดเผยและไม่เปิดเผยกลางเมือง เช่นการสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุล และการฆ่าประชาชนอย่างโหดร้ายด้วยปืนสไนเปอร์ในเหตุการณ์ "สังหารโหดราชประสงค์" ซึ่งใครๆก็รู้ว่าเป็นฝีมือทหารแต่ผู้เกี่ยวข้องและผู้กระทำการชั่วช้าก็ไม่ถูกลงโทษตามกฎหมายแต่ยังกลับได้ดีอีกด้วย

ด้วยเหตุเช่นนี้ทำให้ราชอาณาจักรไทยกลายเป็นราชอาณาจักรแห่งความกลัวที่สื่อมวลชน, ปัญญาชนและประชาชนทั่วไปต่างเอาตัวรอดโดยเชื่อในปรัชญาร่วมกันว่า "รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี".....ไทยจึงกลายเป็นรัฐล้มเหลวจากการกระทำของกษัตริย์ไทยที่โกหกประชาชนมายาวนานว่า" เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม"

ทหารของพระราชาจึงกลายเป็นฐานอำนาจของระบอบราชาธิปไตยใหม่และกลายเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยที่ต่อท้ายด้วยคำว่า"อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"


ดังนั้นการสร้างประชาธิปไตยของไทยจึงจำเป็นต้องถอนอำนาจทหารออกจากพระราชาให้ทหารเป็นของประชาชนซึ่งตามวิถีทางปกติในทางปฏิบัติไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar