söndag 20 juli 2014

รัฐประหารคือการรุกใหญ่หรือเส้นทางสู่ความพินาศของระบอบอำมาตย์กันแน่


 
 
การ ต่อสู้ครั้งนี้อำมาตย์คิดว่าเขาอยู่ในขั้นรุก คือใช้การรัฐประหารและอาจเลยเถิดไปถึงขั้นปิดประเทศสักพักหนึ่ง เพื่อดำเนินการกวาดล้างพลังประชาธิปไตยไทยให้สิ้นซากลง ก่อนกลับเข้าสู่ภาวะเดิม แต่เมื่อทำเข้าจริงแล้วกลับไม่ใช่ เพราะการรัฐประหารครั้งนี้หอกทมิฬกลับมาแทงทมิฬเอง จนอาจกลายเป็นการฆ่าตัวตายและสร้างความพินาศฉิบหายใหญ่หลวงให้กับพวกเขาเอา ได้ เนื่องจากทำให้ชนชั้นปกครองของประเทศต้องสูญเสียทั้งพันธมิตรและการยอมรับ จากสังคมโลกอย่างรุนแรง ปรากฏการเช่นนี้พวกเขาไม่เคยพบมาก่อนจากรัฐประหารในอดีต
นี่คือผลจากการมองสังคมด้วยทัศนะอนุรักษ์นิยมที่จมอยู่กับอดีตและบารมีส่วน ตัว โดยไม่มองภววิสัยของโลกปัจจุบัน ในอดีตนั้นเผด็จการสามารถดำรงอยู่ได้นานเพราะการมีสงครามเย็นและการแบ่งแยก ซีกการปกครองโลก แต่วันนี้สังคมโลกคือผลประโยชน์ และถ้าอยากจะปิดประเทศ ก็ต้องพิจารณาดูก่อนว่า ประเทศนี้มีผลประโยชน์และทรัพยากรสำคัญที่พอจะใช้ต่อรองกับมหาอำนาจแบบ ประเทศตะวันออกกลาง หรือมีเทคโนโลยีสูงและกำลังทางทหารสูงแบบรัสเซีย มีแรงงานราคาถูกจำนวนมากแบบจีน ฯลฯ หรือเปล่า

แต่นี่มีอะไร เป็นประเทศอุตสาหกรรมเบาที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีตะวันตกมาทำ Re Export เป็นประเทศเกษตรกรรมที่รอบข้างก็เป็นเหมือนกัน และเปิดประเทศกันหมดแล้ว เป็นประเทศที่กำลังทหารไม่ได้แข็งแกร่งจนเป็นมหาอำนาจในภูมิภาค ทหารไทยนั้นทำหน้าที่หลักคือใช้กำลังอาวุธกดหัวประชาชนให้เป็นขี้ข้าชนชั้น ปกครองเท่านั้น ขอชี้ว่าถ้าผลประโยชน์ของชาติตะวันตกต้องสูญเสียมากเกินไปจากการกระทำของชน ชั้นปกครองในประเทศ เขาก็พร้อมที่จะตัดหางปล่อยวัดคนพวกนี้ กรณีนี้เราเห็นมามากมายแล้วที่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ทั้งในตะวันออกกลาง เอเชีย หรือลาตินอเมริกา ฯลฯ

อยากให้พิจารณากันให้ชัดเจนด้วยว่าตะวันตกและยุโรปคือตลาดสำคัญของประเทศนี้ ไม่ใช่จีน ซึ่งที่จริงคือคู่แข่งทางการตลาดของไทยในตลาดตะวันตก สหรัฐ อียู ออสเตรเลีย ฯลฯ และต่อไปไม่นานพวกเขาคงจะยิ่งเพิ่มมาตรการกดดันประยุทธกับพวกเพิ่มขึ้นอีก หลายระดับ เป็นอีกแนวรบสำคัญของขบวนการประชาธิปไตย นี่เพิ่งผ่านมายังไม่ถึงสองเดือนก็ต้องยอมปรับเปลี่ยนการแสดงอำนาจเปิดเผย มาเป็นหลบ ๆ ซ่อน ๆ แอบอุ้มชาวบ้านแทนประกาศโจ่งแจ้งแล้ว ต้องส่งคนทุกระดับวิ่งวุ่นไปขอเคลียร์กับเขาไปทั่วอย่างที่เห็นกันอยู่ หรือเรียกร้องให้คนที่ออกไปต่อสู้กลับประเทศ ทั้ง ๆ ที่ไปยกเลิกพาสปอร์ตของพวกเขาเรียบร้อยแล้ว

ถ้าจะบอกว่าไม่แคร์ พร้อมจะปิดประเทศก็ทำไป ฝ่ายประชาธิปไตยผ่านพบความเป็นเผด็จการและการใช้อำนาจไม่เป็นธรรมแบบนี้มา เยอะแล้ว ตั้งแต่สมัยสฤษดิ์ ถนอม ธานินทร์ สุจินดา ไอ้มาร์ก ไอ้เทือก ฯลฯ วันนี้พวกเขาต่างก็ซุ่มปิดลับสร้างพลังการต่อสู้กันไป รอวันสถานการณ์เปลี่ยนหรือสุกงอมจนมีโอกาสเปิดขึ้นมาได้เสมอ ที่ผ่านมาก็เป็นเช่นนี้ตลอด
การถอยทางยุทธวิธีเป็นเรื่องปกติในสงครามแต่ไม่ใช่ถอยทางยุทธศาสตร์ เพราะการเพิ่มแนวรบใหม่คือการรุกทั้งทางยุทธศาสตร์และยุทธวิธี ที่สร้างความปั่นป่วนให้ฝ่ายตรงข้ามจนคิดไม่ออกว่าจะรับแนวรบใหม่นี้อย่างไร และเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะพลิกสถานการณ์จนกลายเป็นฝ่ายรุก ที่สร้างความสูญเสียให้กับข้าศึกได้เสมอ

สงครามที่ผ่านมาในโลกเขาทำแบบนี้ทั้งนั้น การรุกกลับของพันธมิตรทั้งในยุโรป และแปซิฟิก จนถึงการหันมาใช้ระเบิดปรมาณูที่ญี่ปุ่นคือการเปลี่ยนแนวรบทั้งนั้น ก็จบโรงเรียน เสธ.กันมาแทบทุกคน น่าจะประเมินได้นะ โดยเฉพาะพลังฝ่ายประชาธิปไตยวันนี้นั้นไม่ใช่หลายสิบปีก่อน

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar