torsdag 10 juli 2014

๑๐ ก.ค. ๕๗ วันที่ห้าสิบ คสช..กำลังใช้ "อำนาจ" ที่ปล้นอำนาจรัฐมาอย่างไร้ทิศทางไร้กฎกติกาเหมือนคนตาบอดมืดสนิท มองไม่เห็นทางออกต้องใช้คนจูงนำทาง แล้วใคร? คนดีๆที่ไหนจะกล้าเข้าไปร่วมมือกับโจรเถื่อนที่ไม่เคารพกฎกติกาขอองสังคมปล้นทำลายชาติทำร้ายประชาชน อำมาตย์เผด็จการทรราชและเผด็จการทหารยิ่งตอกย้ำความเกลียดเคียดแค้นชิงชังหมดรักสิ้นศรัทธามากขึ้นทุกวันกับระบอบอำมาตย์เผด็จการทรราชราชาธิปไตยและทหารเผด็จการ แล้วระบอบเผด็จการจะคงอยู่ยั่งยืนได้อย่างไรเมื่อประชาชนในชาติไม่ต้องการ???? เผด็จการทหารปิดประเทศ : ปัญหาตามมาเศรษฐกิจประเทศตกต่ำ ผลผลิตทุกด้านลดลง คนไม่มีงานทำ กำลังซื้อไม่มี ขาดเงินหมุนเวียน การแลกเปลี่ยนสินค้าขายกับตลาดต่างประเทศลดลง ฯลฯ ปัญหาปากท้องประชาชนก็ตามมาเป็นลูกโซ่ แล้ว คสช. จะขอความร่วมมือกับใครและมีนโยบายแก้ไขปัญหาอย่างไร ? เพราะอำมาตย์ทรราชและทหารคือผู้ก่อปัญหาขึ้นมาเอง ประชาชนไทยคือผู้ถูกกระทำม่ใช่ผู้สร้างปัญหาขึ้นมาเอง....คสช.โปรดตัดสินใจสั่งทหารกลับเข้ากรมกองได้แล้วก่อนที่ประเทศชาติจะถูกทำลายไปมากกว่านี้ "อาชีพทหาร" ไม่มีหน้าที่มาบริหารจัดการประเทศ .โปรดยอมรับความจริงทหารคือทหารมีหน้าที่ปกป้องประเทศชาติยามมีสงครามรบกับข้าศึกสัตรู..อย่าลืมหลักความจริงนี้ ...ด้วยความปราถนาดี


เผื่อท่านผู้นำยังไม่ทราบ...มูลค่าความเสียหายจากความไม่สงบทางการเมือง




ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย

ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส
sopon@area.co.th;
www.facebook.com/dr.sopon4

เมื่อเร็ว ๆ นี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช) ได้แถลงว่า "จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินว่า เศรษฐกิจของเราจะโตขึ้นทั้งปี เพียงแค่ 1.5%" {1} กรณีนี้มีนัยสำคัญทางเศรษฐกิจเป็นอย่างยิ่ง ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จึงขอนำเสนอตัวเลขเพื่อสังคมและ คสช. ได้พิจารณาดังนี้

1. ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของไทย ณ ปี 2556 อยู่ทีประมาณ 12 ล้านล้านบาท {2}

2. หากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2557 อยู่ที่ 1.5% ก็จะเป็นเงิน 180,000 ล้านบาท

3. อย่างไรก็ตามอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศอาเซียนในปี 2555 สูงถึง 5.7% {3}

4. ถ้าไทยสงบสุขดังเช่นประเทศเพื่อนบ้านก็น่าจะมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจตามค่าเฉลี่ยนี้ แต่หากมองในแง่ลบ ก็น่าจะมีอัตราการเติบโตอย่างน้อย 4% แทนที่จะเป็น 1.5% หากประเทศไทยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ณ 4% ก็จะเป็นเงิน 480,000 ล้านบาท

5. ดังนั้นประเทศไทยจึงสูญเสียไปถึงประมาณ 300,000 ล้านบาทจากความไม่สงบทางการเมือที่เกีดขึ้นในระยะที่ผ่านมา ซึ่งเป็นมูลค่ามหาศาลเป็นอย่างยิ่ง ความสูญเสียนี้ย่อมส่งผลต่อสังคมโดยเฉพาะประชาชนคนเล็กคนน้อยที่จะมีรายได้ฝืดเคือง ทำให้ประชาชนต้องพึ่งพิงและขึ้นต่อรัฐมากขึ้น และย่อมส่งผลต่อความสงบสุขในสังคมโดยอาจมีอัตราเพิ่มขึ้นของอาชญากรรมตามมา อย่างไรก็ตามข้าราชการและพนักงานเอกชนที่รับเงินเดือนประจำ อาจไม่ได้รับผลกระทบจนกว่าองค์กรที่ตนทำงานอยู่จะได้รับผลกระทบจนต้องลดคน ลดเงินเดือนก่อน

6. ความสูญเสียถึง 300,000 ล้านบาทนี้ หากเทียบกับราคาที่อยู่อาศัยในประเทศไทย ณ ราคา 1 ล้านบาทต่อหน่วยโดยเฉลี่ย ก็จะเท่ากับการทำให้บ้านและห้องชุดราบพนาสูญไปถึง 300,000 หลัง แต่หากเทียบกับราคาบ้านเฉพาะในกรุงเทพมหานครที่ค่าเฉลี่ย 3 ล้านบาทต่อหน่วย ก็เท่ากับการสูญเสียบ้านและห้องชุดไป 100,000 หน่วยนั่นเอง

7. หากเปรียบเทียบในอีกแง่หนึ่ง ความสูญเสียมูลค่า 300,000 ล้านบาทนี้ ก็เท่ากับการสูญเสียอาคารสำนักงานใหญ่ของธนาคารกรุงเทพจำกัด (มหาชน) ซึ่งมีมูลค่าราว 6,000 ล้านบาท ไปถึงประมาณ 50 อาคารเลยทีเดียว

8. ความสูญเสียนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น เพราะทำให้เกิดการสูญเสียต่อเนื่อง เช่นในส่วนของการท่องเที่ยว เมื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติมาท่องเที่ยวน้อยลง ทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวในด้านต่าง ๆ ในแต่ละปีลดลง และยิ่งนักท่องเที่ยวเบนเข็มไปที่อื่นแล้ว โอกาสที่จะกลับมาก็คงต้องใช้เวลา และทำให้การรณรงค์ให้นักท่องเที่ยวกลับมาต้องสิ้นเปลืองเวลาและงบประมาณไปอีกมหาศาล

บทเรียนนี้น่าจะสะท้อนให้เห็นว่าปัญหาบ้านเมืองนั้นควรทำตามกติกาในรัฐสภามากกว่าที่จะออกนอกกติกาและสร้างความเสียหาย อย่างมหาศาลต่อประเทศชาติ และประชาชน และคงต้องใช้เวลาเยียวยาอีกนานทีเดียว แต่จากการหยุดกิจกรรมทางการเมืองข้างถนนเช่นในห้วงหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งรวมการปิดกรุงเทพมหานคร และการแห่แหนเดินขบวนไปในที่ต่าง ๆ การยึดสถานที่ราชการจำนวนมาก บ้านเมืองในขณะนี้จึงสงบสุขลง บทเรียนนี้จึงชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องยึดถือกติกาประชาธิปไตยโดยเคร่งครัด
Credit




กรุงเทพฯตกอันดับ สุดยอด เมืองท่องเที่ยว - Bangkok slips as top destination



ของจริงที่ปรากฎ : ทหารไทยกำลังประสบปัญหาในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ
ทหารไทยกำลังประสบปัญหาในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ

Thailand's Junta Struggles to Turn Around the Economy
http://www.businessweek.com/articles/2014-07-07/thailands-junta-struggles-to-turn-around-the-economy

บทความเขียนโดย : Bruce Einhorn – 7 กรกฎาคม 2557

บรรดาท่านนายพลทั้งหลายที่เวลานี้กำลังบริการประเทศไทยอยู่ ดูเหมือนว่าจะเอาอย่างมาจากการทำรัฐประหารของผู้นำทางทหารของประเทศเพื่อนบ้าน ตอนที่ทหารเมียนม่าร์(ก็พม่านั่นแหละ) บดขยี้ผู้เรียกร้องประชาธิปไตยในปี 2531 คณะรัฐประหารที่มีความคิดว่า สงครามคือการสร้างความสงบ การไม่ฟังเสียงประชาชนคือการสร้างความเข้มแข็ง เรียกตัวเองว่า “คณะฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ” เอาตัวออง ซาน ซูจีไปขัง ปิดประเทศไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ไม่เอาประชาธิปไตย อยู่ในอำนาจมาหลายสิบปีก่อนที่จะปฏิรูปการเมืองเมื่อปี 2554

หลังเข้ายึดอำนาจเมื่อเดือนพฤษภาคม คณะรัฐประหารเลือกใช้ชื่อที่คล้ายกับชื่อคณะรัฐประหารของพม่า “คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ” ควบคุมตัวผู้ที่อยู่ตรงข้ามและจับกุมผู้ที่บังอาจอ่านหนังสือ 1984 ของจอร์จ ออร์เวล ในที่สาธารณะ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นายทหารใหญ่ของไทยเปรียบเทียบการกระทำของเพื่อนนายพลทั้งหลายกับการกระทำของนายพลทหารพม่า ที่ทำให้ประเทศพม่าไม่มีใครคบมาหลายสิบปี “รัฐบาลพม่าเห็นด้วยกับการกระทำของทหารไทยในการนำความสงบกลับคืนมา” พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุดกล่าวเมื่อวันศุกร์ ตามรายงานของรอยเตอร์ “พม่าก็เกิดเหตุการณ์คล้ายกับของเราเมื่อปี 2531 พวกเขาจึงเข้าใจดี”

คณะรัฐประหารไทยเลยหวังว่าประเทศอื่นๆคงจะเข้าใจเหมือนพม่า ด้วยการกระจายข่าวสารออกไปว่าประเทศไทยกลับมาสงบเหมือนเดิมแล้ว ดังเช่นเมื่อเดือนที่แล้ว คณะรัฐประหารประกาศยกเลิกเคอร์ฟิว ที่ประกาศใช้ ตั้งแต่ตัดสินใจว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนหมดความเชื่อถือในการบริหารประเทศ การยกเลิกเคอร์ฟิวก็เพื่อส่งข่าวไปยังนักท่องเที่ยวว่า “ประเทศไทยปลอดภัยเหมือนเดิมแล้วนะจ๊ะ” แต่ขอโทษ จำนวนนักท่องเที่ยวในเดือนมิถุนายนหายไป 37 เปอร์เซ็นต์ หลังจากที่หายไปแล้ว 22 เปอร์เซ็นต์เมื่อเดือนพฤษภาคม

ในภาคอื่นๆคณะรัฐประหารไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเช่นกัน การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญจะช่วยส่งเสริมให้มีการเจริญเติบโตในระยะสั้นและจะช่วยให้ประเทศไทยโงหัวขึ้นได้ในอนาคต หลังจากน้ำท่วมเมื่อปี 2554 ที่สร้างความฉิบหายใหญ่หลวงให้กับประเทศไทยในรอบ 70 ปี รัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่บริหารประเทศอยู่เวลานั้นเสนอให้ทุ่มเงินประมาณ 3 แสนล้านบาทเพื่อจัดทำโครงการจัดการน้ำ แต่ตอนนี้โครงการนี้ไม่รู้เป็นอย่างไร ตามรายงานที่ตีพิมพ์เมื่อวันศุกร์ของโนมูระ

ยังมีอีก สนามบินสุวรรณภูมิที่ตอนนี้จำเป็นต้องขยาย ตอนที่สร้างได้รับการออกแบบให้รองรับผู้โดยสารปีละ 45 ล้านคน แต่ตอนนี้ต้องให้บริการผู้โดยสารถึงปีละ 51 ล้านคน การขยายสนามบินที่วางแผนไว้ว่าจะเริ่มก่อสร้างปลายปีนี้และจะแล้วเสร็จในปี 2560 แต่ท่านนายพลทั้งหลายบอกว่าค่าใช้จ่ายแพงเกินไป เลยต้องหยุดไว้ก่อน ประธานของการท่าอากาศยานฯให้สัมภาษณ์เมื่อวันพฤหัส

คณะรัฐประหารพยายามที่จะใช้คำพูดสร้างบรรยากาศทางเศรษฐกิจ อย่างเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา บอกว่าทหารจะรักษาค่าเงินบาทไม่ให้ผันผวนเพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออก เขาบอกว่าต้องการให้ธนาคารของรัฐปล่อยกู้ให้กับคนยากจนเพิ่มมากขึ้น ที่สุดของที่สุดก็คือ คณะนายทหารที่เตะกระเด็นผู้บริหารที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนออกไป แล้วตั้งตนเองขึ้นมาทำหน้าที่แทน ต้องการทำให้ประชาชนเชื่อว่า ผู้ที่เข้ามาทำหน้าที่บริหารในตำแหน่งสำคัญๆเป็นคน “ดีและซื่อสัตย์” ทั้งนั้น

ความสุขกลับคืนมาแล้วใช่ไหม? ตามที่ท่านประยุทธบอก เศรษฐกิจจะขยายตัวมากกว่า 2 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ ตัวเลขเท่านี้สำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างประเทศไทยเขาถือว่า”ถดถอย” แต่ก็ยังดีกว่าตัวเลขของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เมื่อเดือนที่แล้วออกมาลดการคาดการลงเหลือแค่ 1.5 เปอร์เซ็นต์จากที่เคยคาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ 2.7 เปอร์เซ็นต์

แต่ได้แค่ 1.5 เปอร์เซ็นต์ก็ขอให้ได้จริงเถอะ เศรษฐกิจของประเทศไทยน่าจะเติบโตที่ 1.1 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ตามรายงานที่ตีพิมพ์ของอียูเบน พาราคูเอลเลส์ กับ ลาวานยา เฟนคาเทสวาราน แห่งโนมูระ ที่แย่กว่านั้น นักพยากรณ์ทางเศรษฐกิจของโนมูระบอกว่ายังมองไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวในปีหน้า หมายความว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยจะขยายตัวเพียงแค่ 3.3 เปอร์เซ็นต์ในปี 2558 ใช่แล้ว ทหารกำลังพยายามทำให้เศรษฐกิจไทยเดินไปข้างหน้าอีกครั้งหลังจากหยุดนิ่งเพราะปัญหาทางการเมืองมาหลายเดือน ได้ประกาศเมื่อวันที่ 2 กรกฏาคม ว่ายังไม่มีแผนขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มกับภาษีนิติบุคคลอย่างน้อยก็อีกปีหนึ่ง แต่แผนการที่ว่า “ไม่ทำให้การเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น” ตามรายงานที่ตีพิมพ์ “ตัวเลขล่าสุดของระดับหนี้สินในครัวเรือนและจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจยังอ่อนแอ ถึงแม้ว่าจะมีสัญญาณบ่งบอกว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้น

ดูเหมือนว่าคนไทยจะรู้สึกดีขึ้น หลังจากที่ความเชื่อมั่นลดลงอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสที่สองของปีที่แล้ว ดัชนีที่เป็นตัววัดความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้นในสองเดือนที่ผ่านมา ตัวเลขของดัชนีอยู่ที่ 84.8 เมื่อเดือนมีนาคม 2556 หล่นมาอยู่ที่ 67.8 ในเดือนเมษายนของปีนี้ ต่ำสุดในรอบ 13 ปี ตอนนี้ถึงจะตีกลับมาได้ ก็ได้เพียงแค่ 75.1 เท่านั้น การเพิ่มขึ้น “อาจสะท้อนให้เห็นผลดีของการทำรัฐประหารที่ทำให้เกิดความสงบที่เป็นตัวช่วยให้เศรษฐกิจเจริญเติบโต” โทมัส จาสทร์ซับ นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมของบลูมเบิร์กเขียนไว้ในรายงานที่ตีพิมพ์เมื่อวันศุกร์


Inga kommentarer:

Skicka en kommentar