torsdag 18 april 2013

น่าอ่าน ....จักรภพเปิดสัมพันธ์ทั้งรักทั้งชังทักษิณผ่านfb ....

จักรภพเปิดสัมพันธ์ทั้งรักทั้งชังทักษิณผ่านfb

รูปภาพ : ๑๗-๔-๕๖

(๑) เมื่อสองวันก่อนผมได้รับคำถามหนึ่งซึ่งเกี่ยวกับอดีตนายกรัฐมนตรี ดร.ทักษิณ ชินวัตร โดยอยากทราบความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับตัวผม คำถามนั้นออกจากมีนัยลบอยู่บ้าง เพราะใช้คำว่า "ขี้ข้าทักษิณ" และถามว่าผมมาทำงานให้กับท่านผู้นี้ทำไมทั้งๆ ที่ผมก็ "ดูมีอุดมการณ์" ผมรับปากในวันก่อนว่าผมจะตอบให้ท่านหายแคลงใจ ซึ่งก็จะขอตอบในวันนี้และขณะนี้เลยครับ

แต่ก่อนที่จะตอบนั้น ผมขอออกตัวไว้ก่อนว่าผมยังตอบแบบหมดเปลือกไม่ได้ เพราะจะเสียการเมืองและทำให้เกิดสับสนไปโดยใช่เหตุ หลายอย่างในชีวิตคนเราก็ต้องเก็บงำไว้กับตัว โดยเฉพาะในความเจ็บปวดรวดร้าวบางอย่างที่ส่งผลเฉพาะตัวเราเอง ใครอยากเป็นผู้นำทางการเมืองจะต้องฝึกหัดขัตติยธรรมข้อนี้ไว้ให้มาก เราจะอ้าปากพูดก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นกระทบต่อบ้านเมืองและผู้คนในวงกว้าง อะไรที่เป็นส่วนตัวต้องข่มใจเอาไว้บ้าง อย่าคร่ำครวญพร่ำเพรื่อ การต่อสู้ทางการเมืองในขณะนี้ไม่มีอะไรที่ไม่เจ็บปวด ไม่มีใครที่ไม่สูญเสียอะไร เราควรรู้สึกเป็นเกียรติยศด้วยซ้ำที่ได้ร่วมสู้ร่วมฟันฝ่า ไม่ว่าจะสวมเสื้อสีใดหรือไม่มีสีเลยก็ตาม แต่ถึงจะพูดไม่ได้เต็มที่ ข้อความต่อไปนี้ก็คือความจริงทั้งสิ้นครับ...
โดย จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา facebook จักรภพ เพ็ญแข - Jakrapob Penkair


(๑) เมื่อสองวันก่อนผมได้รับคำถามหนึ่งซึ่งเกี่ยวกับอดีตนายกรัฐมนตรี ดร.ทักษิณ ชินวัตร โดยอยากทราบความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับตัวผม คำถามนั้นออกจากมีนัยลบอยู่บ้าง เพราะใช้คำว่า "ขี้ข้าทักษิณ" และถามว่าผมมาทำงานให้กับท่านผู้นี้ทำไมทั้งๆ ที่ผมก็ "ดูมีอุดมการณ์" ผมรับปากในวันก่อนว่าผมจะตอบให้ท่านหายแคลงใจ ซึ่งก็จะขอตอบในวันนี้และขณะนี้เลยครับ

แต่ก่อนที่จะตอบนั้น ผมขอออกตัวไว้ก่อนว่าผมยังตอบแบบหมดเปลือกไม่ได้ เพราะจะเสียการเมืองและทำให้เกิดสับสนไปโดยใช่เหตุ หลายอย่างในชีวิตคนเราก็ต้องเก็บงำไว้กับตัว โดยเฉพาะในความเจ็บปวดรวดร้าวบางอย่างที่ส่งผลเฉพาะตัวเราเอง ใครอยากเป็นผู้นำทางการเมืองจะต้องฝึกหัดขัตติยธรรมข้อนี้ไว้ให้มาก เราจะอ้าปากพูดก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นกระทบต่อบ้านเมืองและผู้คนในวงกว้าง อะไรที่เป็นส่วนตัวต้องข่มใจเอาไว้บ้าง อย่าคร่ำครวญพร่ำเพรื่อ การต่อสู้ทางการเมืองในขณะนี้ไม่มีอะไรที่ไม่เจ็บปวด ไม่มีใครที่ไม่สูญเสียอะไร เราควรรู้สึกเป็นเกียรติยศด้วยซ้ำที่ได้ร่วมสู้ร่วมฟันฝ่า ไม่ว่าจะสวมเสื้อสีใดหรือไม่มีสีเลยก็ตาม แต่ถึงจะพูดไม่ได้เต็มที่ ข้อความต่อไปนี้ก็คือความจริงทั้งสิ้นครับ...


(๒) ผมได้รับชวนเข้าสู่การเมืองในตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในช่วงปลายรัฐบาลทักษิณ ๑ บุคคลที่มีบทบาทอย่างสำคัญในการ "เจรจา" กันคือ คุณยงยุทธ ติยะไพรัช เลขาธิการนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น กับ น.ต.ศิธา ทิวารี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ดร.ทักษิณฯ ไม่เคยรู้จักผมเลย ผมก็ไม่รู้จักท่านเป็นการส่วนตัวแม้แต่น้อยนิด เคยวิจารณ์ท่านในวงอภิปรายมาแล้วหลายครั้งด้วยซ้ำ เพราะผมรู้สึกว่าการบริหารงานแบบธุรกิจมีความเป็นเผด็จการสูง กลัวว่าท่านจะนำมาใช้ในวงการเมืองมากเกินไป 


แต่ผมก็รับตำแหน่งเพราะอยากเป็นโฆษกรัฐบาล ซึ่งเป็นความใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก ตั้งใจว่าถ้าไม่ไหวก็จะขอลากลับไปสู่เส้นทางเดิม ในขณะนั้นอาชีพสื่อมวลชนและนักวิชาการอิสระของผมก็ราบรื่นดีอยู่ แต่แล้วผมก็ประหลาดใจกับตัวเอง ผมรู้สึกพึงพอใจกับนโยบายของรัฐบาลในขณะนั้นมากขึ้นทุกที เพราะนายกรัฐมนตรีและโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีนั้นใกล้ชิดกันมาก รู้สึกเหมือนได้รู้จักท่านมาเป็นปีๆ ทั้งที่ทำงานมาไม่กี่เดือน ได้เห็นกับตาตัวเองว่านโยบายเหล่านั้นเป็นประโยชน์ต่อประชาชนที่ครั้งหนึ่งเคยไร้ความหวังโดยสิ้นเชิง จนเขาไม่เชื่อน้ำยานักการเมืองกันมาตลอด สุดท้ายผมเกิดความรู้สึกขึ้นมาสองอย่างในขณะนั้น 

หนึ่ง-ผมเกิดความศรัทธาว่า ดร.ทักษิณฯ จะเป็นผู้นำที่เปลี่ยนแปลงเมืองไทยในระดับรากเหง้าได้ และสัญญากับตัวเองว่าจะอยู่ข้างท่านไปตลอดจนกว่าภารกิจนั้นจะบรรลุผล 

สอง-ผมตระหนักมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๗ ว่า ผลงานของรัฐบาลทักษิณจะทำให้เกิดการเผชิญหน้าในสังคมไทยอย่างใหญ่หลวงในเวลาไม่ช้านานนัก ผมเป็นนักเรียนรัฐศาสตร์ที่ศึกษาโครงสร้างสังคมไทยมาตลอด ผมพอเข้าใจว่านโยบายในขณะนั้นจะเปลี่ยนสมดุลอำนาจในสังคมไทยหลายอย่าง จนถึงขั้นที่ "เจ้าของประเทศ" (หรือผู้ที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของประเทศ) จะทนไม่ได้ ความรู้สึกที่สองจึงกลับไปเสริมความรู้สึกที่หนึ่ง จนทำให้ผมกำหนดตัวเองเป็น "นักรบ" ของฝ่ายมหาชนมาตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดเหตุสร้างสีต่างๆ มาปะทะกัน ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความหลงตัวเองหรือคิดว่าตัวเองสลักสำคัญอะไรหรอกนะครับ นี่เป็นเพียงความคิดของคนๆ หนึ่งที่เกิดมาแล้วไม่อยากเสียชาติเกิดเท่านั้นเอง...

(๓) แนวคิดนั้นคงจะตอบคำถามได้ว่า หมดวาระในตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว ทำไมยังลงสมัครรับเลือกตั้งที่เขตบางกอกน้อยจนสอบตกครั้งแรก แถมยังมาสอบตกครั้งที่สองในเขตสัมพันธวงศ์ บางรัก พระนคร และป้อมปราบศัตรูพ่ายอีก ระหว่างนั้นก็ได้ตำแหน่งปลอบใจเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (ในสังกัดรองนายกฯ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย) โดยไม่มีอำนาจและอิทธิพลใดๆ อย่างที่นักการเมืองควรจะมีเลย 


ถ้าจะนำชีวิตการเมืองมาเขียนเป็นกราฟ เส้นก็จะขึ้นชันขึ้นไปอย่างรวดเร็ว แล้วก็หักกลับลงมาในมุมแคบพอๆ กัน แทบจะไม่มีอนาคตใดๆ เลย แต่ผมก็ไม่เคยคิดแม้แต่นิดเดียวว่าจะหันหลังกลับ ไม่ใช่เพราะหลงกลิ่นการเมืองแบบที่เขาพูดกันหรอกครับ แต่เป็นเพราะทำสัญญาใจไว้กับรัฐบาลทักษิณเสียแล้ว ผมอยากเห็นเมืองไทยของผมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ประชาชนมีอำนาจมากขึ้นในทุกทาง (people's empowerment) ทั้งในการมีส่วนร่วมทางการเมือง โอกาสทางเศรษฐกิจ และความเป็นธรรมทางสังคม เพื่อให้คนไทยมีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ผมเห็นว่าอะไรก่อนหน้านั้นที่บอกว่าดีว่าวิเศษ ทำให้ประเทศชาติบ้านเมืองเจริญก้าวหน้านั้น เป็นการโฆษณาชวนเชื่อในระดับที่ใกล้เคียงกับเกาหลีเหนือเท่านั้นเอง 

สรุปแล้วแนวคิดและสัญญาใจนี่เองครับ ที่นำผมมาสู่ขบวนการประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตั้งแต่พีทีวี นปก. นปช. จนถึงออกลี้ภัยการเมืองเพื่อการเสริมสานภารกิจ โดยไม่มีแผนที่จะก้าวออกนอกทิศทางนี้เลย...



(๔) ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับท่านอดีตนายกรัฐมนตรี เรียกว่า ความสัมพันธ์ทางการเมือง (political relationship) ที่ยึดเอาไว้ด้วยเป้าหมายบางอย่างต่อบ้านเมืองนี้ ผมรู้สึกเคารพนับถือท่าน เพราะท่านเป็นคนมีประโยชน์ต่อบ้านเมือง ผมรู้สึกขอบคุณท่านเป็นการส่วนตัว เพราะท่านให้โอกาสทางการเมืองกับผม 


จนผมเข้ามารับใช้บ้านเมืองในระดับนโยบายได้ ผมได้รับความช่วยเหลือจากท่านเป็นการส่วนตัวเป็นครั้งคราว เพื่อให้มีลมหายใจที่จะต่อสู้ได้อีก ไม่ถึงขนาดจะสร้างฐานะร่ำรวยขึ้นมาได้ ใครที่เคยอยู่กับนักธุรกิจชนิดสร้างตัวเอง อาจจะเข้าใจได้มากกว่าคนที่ไม่เคย พระเวสสันดรมีอยู่แต่ในทศชาติ และซานตาคลอสมีอยู่แต่ในนิยายคริสต์มาส ในปัจจุบันไม่มีหรอกครับ เรื่องเงินจึงไม่ต้องเอามาพูดกันเลย ใครสงสัยควรไปถามท่านอดีตนายกรัฐมนตรีโดยตรง อย่าเล่าลือกันไปมาผิดๆ เพราะท่านก็ยังมีชีวิตอยู่ให้ถามได้ 

ส่วนความรู้สึกต่อตัวผมนั้น ท่านก็รักในฐานะที่เป็นนักต่อสู้ แต่บางครั้งเมื่อเราหัวแข็ง ขัดใจ และไม่ทำตัวเป็นลูกทีมที่ทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด จะให้รักกันอยู่ตลอดเวลาอย่างไรได้ ผมยอมรับในเรื่องนี้ สิ่งที่เรียกว่า ความสัมพันธ์แบบทั้งรักทั้งชัง (love-hate relationship) ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก ตราบเท่าที่ยังมีเป้าหมายทางการเมืองเดียวกันยึดโยงอยู่ ผมยืนยันว่า ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีมีส่วนดีต่อบ้านเมืองมากกว่าส่วนเสีย และเพียงแค่นั้นผมก็ยืนระยะต่อไปได้ 

สำหรับท่านที่รู้สึกตรงข้ามกับผม โดยเฉพาะคนที่ถึงขั้นเกลียด ดร.ทักษิณฯ นั้น ผมเชื่อว่าส่วนหนึ่งเพราะท่านไม่เคยรู้ว่าคนบางคนที่เราวิจารณ์เขาไม่ได้นั้น แท้ที่จริงมีความเลวร้ายต่อบ้านเมืองขนาดไหนและทำให้บ้านเมืองอยู่ในสภาพเกวียนที่ตกหล่มขนาดไหน เมื่อไหร่ก็ตามที่บ้านเมืองนี้มีเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์มากกว่านี้ หลายท่านจะกลับมาเข้าใจผมว่า ผมเลือกเส้นทางนี้เพราะอะไร นานเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไรครับ ต่อให้ผมตายจากไปแล้วค่อยย้อนกลับมาเข้าใจผมก็ยังได้ วันนี้พูดยังไม่ได้เต็มปาก เราก็ต้องยอมรับสภาพไปก่อน

การอยู่กับใครในทางการเมือง ไม่ได้แปลว่าเราต้องหลงรักเขาสุดหัวใจ ชนิดตาบอดหรือไม่แลเห็นข้อบกพร่องเอาเสียเลย เพราะการเมืองเป็นเรื่องเปรียบเทียบระหว่างคนมีกิเลสที่หนากว่าและบางกว่า ไม่มีเทวดาใดๆ มาเป็นตัวเลือก เมื่อเรายอมรับความจริงได้ว่า รัฐของประชาชนก็ต้องกระโดกกระเดกบ้างอย่างนี้ ผู้นำบางคนเริ่มดี พอต่อมาก็เริ่มออกลาย ผู้นำบางคนถูกดูถูก แต่กลับทำงานให้บ้านเมืองได้ดีกว่าคนที่คอยดูถูกเขา ผู้นำบางคนเกิดในชนชั้น "โง่ จน เจ็บ" ก็พกปมด้อยมาจนเต็มกระเป๋า กว่าจะล้างหมดก็เสียคน 


บางท่านเป็นนักต่อสู้เดือนตุลาพฤษภา แต่ผิดหวังกับชีวิตเสียจนกระทั่งมองโลกในแง่ร้าย เทศนาให้คนเชื่อว่า ความดี ความงาม และความจริง เป็นสิ่งที่ไม่มีแล้วในโลก ฯลฯ เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างของโลกที่เป็นจริง เราจึงต้องสร้างระบบการเมืองที่ไม่หวังให่ใครเป็นเทวดา แต่ยอมรับว่าทุกคนเป็นปุถุชนชนิดกึ่งดิบกึ่งดี และตรวจสอบ ถ่วงดุล เลือกตั้ง จนคนที่ดีกว่าได้อยู่ในอำนาจได้นานกว่าคนอื่นเขาหน่อยเท่านั้นเอง

วันหนึ่งผมจะพูดได้ตรงกว่านี้ ถึงวันนั้นท่านคอยทวงนะครับ ยังมีเรื่องเล่าสู่กันฟังอีกทั้งคืน.
น่าอ่าน

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar