måndag 8 april 2013

ข่าวด่วนล่าสุด... ข่าวลับที่กรองแล้ว.... จาก ส.ป.ท.


ข่าวลับกรองแล้ว
โดย กลุ่มเสียงประชาชนไทย (สปท.)  7 เมษายน 2556

สวัสดีปีใหม่ไทยสถานการณ์ในประเทศไทยยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแม้กษัตริย์ภูมิพลจะแสดงภาพความแข็งแรงให้นายกฯ ปู และ ครม. เข้าเฝ้าถวายรายงานเกี่ยวกับเรื่องน้ำและรถไฟความเร็วสูงก็ไม่อาจปกปิดความจริงของสุขภาพและความจริงของระบบปกครอง แบบราชาธิปไตยได้  ของจริงคือกษัตริย์เป็นผู้บริหารประเทศโดยมีคณะองคมนตรีเป็นคณะรัฐมนตรี    ส่วนนายกฯ ยิ่งลักษณ์ และคณะรัฐมนตรีที่ประชาชนเลือกมาเป็นเพียงคณะเด็กรับใช้ ที่ถูกเรียกมารายงานเป็นระยะๆ

ภาพบนหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในวัน  ที่ 4 เมษายน 2556 ที่มีนายกฯ ยิ่งลักษณ์ นำรัฐมนตรีเกษตรและคมนาคม หมอบคลานเข้าไปถวายรายงานคล้ายกับสัตว์เลื้อยคลาน เป็นการประจานว่าประเทศไทยยังอยู่ในระบอบการปกครองแบบราชาธิปไตย ( Neo Absolute Monarchy )   ที่ผู้บริหารสูงสุดคือกษัตริย์ภูมิพล  ซึ่งวันนี้มีอายุมาก 84  ปี สุขภาพไม่ดีความเสื่อมถอยของระบบความจำก็เลอะเลือนไปตามกาลเวลา  แต่ ครม. ก็ต้องปฏิบัติตามความคิดของกษัตริย์ภูมิพลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  จึงเป็นเวรกรรมของคนไทยและประเทศไทยที่ต้องทนอยู่กับความวิปริตทางการเมืองเช่นนี้  ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจกับความปั่นป่วนทางการเมืองที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวันนี้

จากข่าวลับกระซิบบอกว่าในการเข้าเฝ้าการสั่งงานของกษัตริย์ภูมิพลครั้งนี้ น้ำเสียงยังบ่งบอกถึงสุขภาพที่ไม่แข็งแรง  เสียงที่พูดเบาไม่ชัดเจน    ใช้ถ้อยคำที่พูดซ้ำไปซ้ำมา และมีเนื้อหาไม่ชัดเจน สปท. ยืนยันแล้วยืนยันอีกและขอยืนยันในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ไทยอีกครั้งหนึ่งว่ารัฐธรรมนูญฉบับ50  นี้แก้ไขไม่ได้และการออกกฎหมายปรองดองจะเกิดขึ้นไม่ได้ ตราบใดเท่าที่กษัตริย์ภูมิพลยังมีชีวิตอยู่  เพราะความขัดแย้งหลักยังเป็นปัญหาคือใครจะขึ้นเป็นรัชการที่ 10 ที่ยังไม่ลงตัว ประกอบกับความหวาดวิตกว่าจะเกิดการสิ้นราชวงศ์  ดังนั้นจึงเกิดคลื่นใต้น้ำและโรคแทรกแซงทางการเมืองจากพลังเชียของฝ่ายพระเทพ ฯ และฝ่ายฟ้าชาย

ศาลรัฐธรรมนูญออกพิจารณาเมือวันที่ 3 เมษายน 2556 และมีคำสั่งให้รับคำฟ้องจากกลุ่ม สว.40 ที่ร่วมมือกับ สส.ปชป. ยื่นฟ้องไม่ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา  เป็นการยืนยันให้เห็นนโยบายหลักของกษัตริย์ภูมิพล ที่ไม่ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญนี้ยังเหมือนเดิม  ดังจะยังเห็นการแสดงออกของศาล รธน.แบบเพี้ยนๆ ดังนี้ 

(1). สว. 40 และ ปชป. ยื่นฟ้องวันที่ 2 เมษา ด้วยเหตุผลว่าเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ทำร้ายระบอบประชาธิปไตย  ศาล รธน.ก็กระโดดออกมาสั่ง ให้รับเรื่องทันทีในวันรุ่งขึ้นทั้งๆที่ไม่มีสถานการณ์ใดๆที่แสดงให้เห็นความจำเป็นเร่งด่วนว่าจะมีการล้มล้างประชาธิปไตยอย่างใดเลย 
(2).  เรื่องที่ค้างในศาลมีจำนวนมาก แต่ศาล รธน. ก็หยิบเรื่องนี้พิจารณาก่อนและสั่งการทันทีในวันรุ่งขึ้น  ซึ่งเป็นคล้ายกับคำสั่งอัปยศในอดีตของศาล  รธน. เมื่อวันที่  1 มิ.ย. 55 ปีที่แล้ว ทำให้การโหวดวาระ3 การขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ 50 ไม่ผ่านมติ ทั้งฉบับ ทำไม่ได้และกลายเป็นวิกฤตรัฐธรรมนูญที่ค้างคามาจนถึงทุกวันนี้  
(3). ทำไมศาล รธน. ต้องรีบวินิจฉัยรับเรื่องทั้งๆทีมีอยู่แค่ 5 คน (4คนเดินทางไปต่างประเทศ)  ที่ถูกต้องควรจะชะลอเรื่องไปก่อนให้อีก 4 คนกลับมาก่อนเพื่อให้เกิดความรอบคอบของที่ประชุมใหญ่ทั้ง 9 คน เพราะเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องสำคัญที่ควรจะต้องพิจารณาจากที่ประชุมใหญ่  
(4). จาก 5 เสียงของศาล รธน. มี 3 เสียงให้รับเรื่องพิจารณานี้ถือว่าเป็นผู้ที่มัวหมองทางการยุติธรรมเพราะเป็นผู้ร่วมยึดอำนาจกับ คมช. เมื่อ วันที่  19 ก.ย. 49  โดยเป็นผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2550  คือ นาย จรัญภักดีธนากูล และ ปัจจุบัน นาย จรัญ เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ  ที่ให้อำนาจสูงสุดอยู่ที่ ศาล รธน. และตัวเองก็เข้ามาเป็น ศาล รธน.เสียเองเพื่อให้ใช้อำนาจนี้ด้วย  ดังนั้นจึงเห็นชัดว่าศาลกลุ่มนี้อยู่ในขบวนการของตุลาการภิวัฒน์ ซึ่งเป็นสายงานของนายชาญชัย  ลิขิตจิตถะ อดีตประธานศาลฎีกา ที่เป็นตัวแทนของกษัตริย์ภูมิพลร่วมกับ พล.อ.เปรมเพื่อร่วมกันยึดอำนาจและก็ได้รับบำเหน็จเป็น รัฐมนตรียุติธรรม และล่าสุดได้รับการแต่งตั้งเป็นองคมนตรี  จึงเห็นชัดว่าการต่อต้านการแก้ไขรับธรรมนูญเป็นสายตรงของกษัตริย์ภูมิพล  ดังนั้น ศาล รธน. จึงทำทุกวิถีทางที่จะขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญแม้จะหาเหตุผลไม่ได้ก็ต้องทำ

ศาล รธน. เป็นศาลการเมืองที่วินิจฉัยตามคำสั่งของ พล.อ.เปรม มากกว่าเหตุผลตามตัวบทกฎหมาย  ที่ผ่านมาจะเห็นได้จากคำวินิจฉัยล้มล้างรัฐบาลของนายกสมัคร เพราะทำกับข้าวออกทีวี และรัฐบาลของนายกสมชาย โดยยุบพรรคแล้ว นอกจากนี้ยังมีคำวินิจฉัยคุ้มครองปกป้อง ม็อบแช่แข็งของเสธ.อ้าย(เหี้ย)  เราคงจำกันได้เมื่อปลายปีที่แล้ว  ม็อบแช่แข็งประกาศชุมนุมเพื่อล้มรัฐบาล นส.ยิ่งลักษณ์ และประกาศต้องการปิดประเทศอย่างถาวร  โดยมีตัวแทนของ พล.อ.เปรม เรียงแถวออกมาสนับสนุนกันพร้อมหน้า ในขณะนั้นมีคนยื่นฟ้องศาล รธน. ให้ม็อบแช่แข็งยุติการชุมนุม แต่กลับกลายเป็นว่า ศาล รธน.เอียงข้างช่วยม็อบแช่แข็ง  โดยวินิจฉัยให้ชุมนุมต่อได้เพราะไม่เป็นการล้มล้างประชาธิปไตย  (การยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญในสภาตามกฎหมายศาล รธน. กลับมองว่าเป็นการล้มล้างประชาธิปไตยแปลกแท้ๆ!!!)

คำสารภาพของนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาล รธน. ที่ว่าการตัดสินคดีปลดนายสมัครออกจากการเป็นนายกเป็นคำวินิจฉัยแบบสุกเอาเผากินและคำตัดสินปลดนายสมชายออกจากการเป็นนายกฯ  เพราะสถานการณ์ไม่สงบก็เห็นชัดเจนว่าศาล รธน. ชุดนี้กระทำผิดกฎหมายและไม่อาจจะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้  แต่ปรากฏว่าไม่เพียงจะอยู่ต่อได้  กลับยังแสดงฤทธิ์เดชไม่สนใจต่อสายตาประชาชนโดยรับฟ้องกลุ่ม สว.40 เล่นงานรัฐบาลหน้าตาเฉย

คำสั่งศาล รธน. ล่าสุดที่ให้รับคำฟ้องของกลุ่ม สว.40 โดยทันที เนื้อแท้ก็เพื่อข่มขู่ไม่ให้รัฐบาลแก้ไขเดินหน้า รธน. รายมาตราโดยเฉพาะมาตรา 68 ที่จะตัดอำนาจของศาล รธน.ในการรับคดีซึ่งเป็นอาวุธสำคัญที่ศาล รธน. จะใช้ฟาดฟันรัฐบาลที่เป็นฝ่ายตรงข้ามของ พล.อ.เปรม

ศาล รธน. แสดงความสับปลับเพียงเพื่อขัดขวางการแก้ไข รธน.เผด็จการ ปี 50  ทุกวิถีทางตามคำสั่งของ พล.อ.เปรม ดังจะเห็นได้ว่าคำวินิจฉัยเมื่อ 13 มิถุนายน 2555 ที่ห้ามไม่ให้แก้ รธน.ปี 50 ทั้งฉบับและยังแนะนำว่าถ้าจะแก้ต้องแก้เป็นรายมาตรา  วันนี้พรรคร่วมรัฐบาลก็ทำตามคำสั่งศาล รธน.นำเสนอแก้เป็นรายมาตรา  ศาล รธน.ก็ยังตั้งท่าจะเล่นงานอีก

ความหวังของคนไทยที่ต้องการเห็นบ้านเมืองสงบโดยเสื้อเหลือง-เสื้อแดงหันหน้าเข้าหากันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ตัวการใหญ่ที่ขัดขวางการปรองดองก็คือ พล.อ.เปรม ที่ใครๆก็รู้ว่า พรรคประชาธิปัตย์อยู่ภายใต้การควบคุมของพล.อ.เปรม โดยควบคุมผ่าน นายชวน  หลีกภัย  ตลอดเวลาที่ผ่านมา พรรค ปชป. กระโดดออกมาขวาง พรบ.ปรองดอง ที่พรรคเพื่อไทยเสนอเข้าสภา โดยขัดขวางทุกวิถีทางอ้างว่าเป็นกฎหมายที่ช่วยทักษิณคนเดียว  และเมื่อรู้ว่าจะต้องแพ้เสียงข้างมากของพรรคเพื่อไทย  ในสภาก็กล้าก่อเหตุรุนแรงบุกทำร้ายประธานสภาและขว้างปาสิ่งของจนกลายเป็นข่าวอื้อฉาวไปทั่วโลก  พรรคเพื่อไทยรู้ดีว่ากษัตริย์ส่งสัญญาณขัดขวางผ่าน พล.อ.เปรม ไปถึง ปชป. จึงหยุดกฎหมายปรองดองไว้ไม่กล้าเดินหน้าต่อ 

ชาวเสื้อแดงไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงก็กล่าวโจมตีพรรคเพื่อไทยว่าไม่ช่วยเหลือ  พอมาถึงวันนี้ สส.เสื้อแดงพรรคเพื่อไทยเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมให้ช่วยเฉพาะชาวบ้านเสื้อแดงที่ติดคุก โดยไม่ช่วยทักษิณและไม่ช่วยนายอภิสิทธิ์ในฐานะหัวหน้าของทั้งสองฝ่าย  พรรค ปชป. ก็ยังตอแหลกับประชาชนอีกว่าเป็นกฎหมายช่วยทักษิณคนเดียวอีก  เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เห็นได้ชัดเจนว่าฝ่ายกษัตริย์ไม่ต้องการให้เกิดการปรองดอง  ด้วยเหตุนี้อนาคตประเทศไทยจึงยากจะหลีกเลี่ยงความรุนแรง  เพราะเชื้อระเบิดความขัดแย้งยังร้อนระอุโดยที่ไม่มีใครกล้าจัดการได้  ถ้ากษัตริย์ภูมิพลมีความจริงใจ  เพียงแต่เอ่ยคำเดียวว่าให้ทุกฝ่ายยุติความขัดแย้ง  ให้บ้านเมืองบริหารตามระบบรัฐสภาก็เชื่อว่าการแก้ไข รธน. ก็จะแก้ไขได้   และกฎหมายปรองดองก็จะออกมาใช้บังคับได้  แต่เป็นเรื่องที่น่าแปลกมากในระยะเวลา 5 ปี ที่ผ่านมานี้  กษัตริย์ภูมิพลไม่เคยกล่าวคำที่เป็นการส่งสัญญาณให้ปรองดอง แต่กลับมีแต่การเรียกศาลและอัยการไปสั่งการอยู่เสมอ  ไม่เคยเรียก ครม. หรือ สส. ให้เข้าเฝ้าเพื่อสั่งการให้หาทางออก เพื่อออกกฎหมายให้เกิดความสงบแก่บ้านเมือง

ขอขอบคุณและให้กำลังใจแก่พี่น้องคนไทยทั่วโลกที่เป็นห่วงบ้านเมืองและติดตาม ข่าวเวปขบวนประชาธิปไตยไทยในแสกนดิเนเวีย มาโดยตลอดและ สปท. จะนำข่าวลับกรองแล้วมาเสนอแก่ท่านต่อไป****

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar